สาระน่ารู้ ชั่งตวงวัด

เครื่องชั่งใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรง (Weighing Instrument for direct sale to the public)

 

 เครื่องชั่งใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรง

 

(Weighing Instrument for direct sale to the public)

 
 
บทความต่อไปนี้เป็นบทความที่เขียนไว้นานาแล้ว และถูกนำไปบรรจุไว้ในหนังสือฉบับพกพา “นานาสาระชั่งตวงวัด” ซึ่งเป็นเล่มแรก อีกทั้งเป็นเอกสารที่ถอดความอ้างอิงจากเอกสาร OIML R76-1 (Edition 1992) ซึ่งเป็นเอกสารฉบับเก่า โดยเอกสาร OIML ฉบับปัจจุบันจะเป็น OIML R76-1 (Edition 2006) หรือจะใหม่กว่านี้ก็ขอให้ท่านไปลองตรวจสอบดู   แต่เชื่อว่าหลักคิดของการกำหนดเรื่อง “เครื่องชั่งใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรง (Weighing Instrument for direct sale to the public)” ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ก็ขอให้ผู้ที่สนใจและตั้งใจเรียนรู้ไปเทียบเคียง   ก็นำบทความเก่า พร้อมขัดเกลาเนื้อหาเล็กน้อยมาลงใหม่อีกครั้ง ส่วนในตอนท้ายได้เขียนเพิ่มเติมเนื้อหาความคิดเห็นไว้เพิ่มเติม เพื่อเสริมต่อยอดจากบทความเดิม   ถือว่าเป็นของเก่าบวกของใหม่ โดยมีใจความว่า
เนื่องจากการวิวัฒนาการของเครื่องชั่งได้ดำเนินอย่างต่อเนื่องด้วยระยะเวลานาน การจำแนกเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติที่มีใช้อยู่นั้นเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากและซับซ้อนอย่างยิ่ง ทั้งนี้ก็เพราะว่าการผลิตและหลักการทำงานของเครื่องชั่งแต่ละชนิดหรือแต่ละแบบนั้นได้มีการพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีตลอดเวลา ในที่นี้เพื่อความเหมาะสมและเป็นไปตามระบบสากลเราจึงให้ความสนใจการจัดแบ่งเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติตามวัตถุประสงค์การใช้งานนั้นก็คือ ความที่ต้องการทราบค่าน้ำหนักสิ่งของที่ต้องการชั่งด้วยเครื่องชั่งหรือก็คือ “ผลการชั่งน้ำหนัก”  นั้นเอง
สามารถแบ่งเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติ (Non-Automatic Weighting Instruments) ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ด้วยกันคือ
1.       เครื่องชั่งที่แสดงค่าได้เอง หรือกึ่งแสดงค่าได้เอง(A Self-or Semi-Self-Indicating Instrument)
2.       เครื่องชั่งที่แสดงค่าได้เองไม่ได้ (A Non-Self-Indicating Instrument)
 
แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมี
-     เครื่องชั่งอิเล็คทรอนิค (Electronic instrument)
-     เครื่องชั่งที่มีส่วนแสดงค่าน้ำหนัก (Graduated instrument)
-     เครื่องชั่งที่ไม่มีส่วนแสดงค่าน้ำหนัก (Non-graduated instrument)
-     เครื่องชั่งที่มีมาตราส่วนราคา (Instrument with price scales)
-     เครื่องชั่งที่คำนวณราคาได้ (Price-computing instrument)
-     เครื่องชั่งพิมพ์ราคาได้ (Price-labeling instrument)
-     เครื่องชั่งที่เปลี่ยนค่าช่องขั้นหมายมาตราได้ (Multi - interval instrument)
-     เครื่องชั่งที่มีช่วงการชั่งหลายช่วง (Multiple range instrument)
-     เครื่องชั่งสองแขนเท่ากัน (Equal Arms)
-     เครื่องชั่งแบบโรเบอร์วัลและเบแรงเงอร์ (Roberval and Beranger instruments)
-     เครื่องชั่งแบบสตีลยาร์ด (Simply steelyards with sliding poises)
-     เครื่องชั่งแบบแท่นชั่ง (Instruments of the steelyard type with accessible sliding poises)
 
ด้วยเหตุนี้หากส่วนประกอบต่างๆของเครื่องที่กล่าวมามีส่วนหนึ่งส่วนใดเป็นไปตามหรือหลักการทำงานตามข้อกำหนดของเครื่องเครื่องชั่งที่แสดงค่าได้เอง หรือกึ่งแสดงค่าได้เอง (A Self-or Semi-Self-Indicating Instrument) หรือเครื่องชั่งที่แสดงค่าได้เองไม่ได้ (A Non-Self-Indicating Instrument) ก็สามารถนำข้อกำหนดดังกล่าวมาใช้เสริมเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้แล้วเรายังพบว่าใน OIML R76-1 (Edition 1992) ก็จะมีข้อกำหนดเสริมเพิ่มเติมเฉพาะเครื่องชั่งที่ได้กล่าวมาอีกด้วย
            แต่ในที่นี้เราจะให้ความสนใจเฉพาะเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรง (Weighing Instrument for direct sale to the public) ซึ่งเป็นไปตาม OIML R76-1 (Edition 1992) ซึ่งจะใช้กับเครื่องชั่งชั้นความเที่ยง II, III หรือ IIII ที่มีพิกัดกำลังสูงสุดไม่เกิน 100 กก. ตามที่ออกแบบไว้เพื่อใช้ในการซื้อขายโดยตรงต่อสาธารณะ   แต่ในการที่จะกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมหรือพิจารณาว่าเครื่องชั่งใดควรจัดเป็นเครื่องชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรงเพิ่มเติมจากที่แนะนำไว้ใน OIML R76-1 (Edition 1992) เพื่อให้เหมาะสมกับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่กำลังพัฒนานั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง   สำหรับประเทศไทยนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงในการกำหนดดูแลเครื่องชั่งตวงวัดและสินค้าหีบห่อเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย พระราชบัญญัติชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 คือ สำนักงานกลางชั่งตวงวัด (Central Bureau of Weights & Measures) นั้นเอง 
เรามาทำความเข้าใจในบางมุมมองว่าเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรงว่านอกจากเครื่องชั่งเป็นไปตามข้อกำหนดตาม OIML R76-1 (Edition 1992) แล้วเราควรเน้นคุณสมบัติเฉพาะงานนี้ได้แก่
 
 
 
ชั้นความเที่ยงใดจึงเหมาะสม ?
            เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุดในทางปฏิบัติ โดยพิจารณาถึงความเที่ยงตรงที่ยอมรับได้กับระดับราคาของเครื่องชั่งที่ผู้ประกอบการต้องจัดหามานั้นต้องไม่แพงมากจนเกินไป   เพราะราคาของเครื่องชั่งจะมีราคาแพงมากน้อยขึ้นอยู่กับชั้นความเที่ยงและหลักการทำงาน เราพบว่าในหลายประเทศที่เจริญแล้วจะยอมให้ใช้เครื่องชั่งไม่อัตโนมัติใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรง (Weighing Instrument for direct sale to the public) เป็นเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติชั้นความเที่ยง III เสียส่วนใหญ่  เนื่องจากเป็นเครื่องชั่งที่มีราคาพอที่ผู้ประกอบการสามารถจัดซื้อหามาเพื่อใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรงได้ ในขณะที่ความแม่นยำของเครื่องชั่งอยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีผลผิดสัมพันธ์ของการชั่งน้อยเมื่อเทียบกับน้ำหนักที่ใช้ชั่งซื้อขายปลีกย่อยโดยทั่วไป ซึ่งแสดงอยู่ในการกำหนดค่า Min ดังในตารางที่ 3 OIML R76-1 (Edition 1992)   อีกทั้งมูลค่าของสินค้าต่ออัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดที่ยอมให้ได้ ณ ค่าน้ำหนักที่ทำการชั่งอยู่ในอัตราส่วนที่ยอมรับได้ แล้วมาดูซิว่าเครื่องชั่งมีการจัดชั้นความเที่ยง III และอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด (Maximum Permissible Error) ที่ยอมให้มีได้สำหรับเครื่องชั่งชั้นความเที่ยง III ดังในตารางที่ 3 OIML R76-1 (Edition 1992) และตารางที่ 6 OIML R76-1 (Edition 1992) ตามลำดับ
          แต่ถ้าหากมีความต้องการใช้เครื่องชั่งให้ละเอียดมากขึ้นหรือชั้นความเที่ยงสูงขึ้นนั้น เป็นคำถามที่ย้อนกลับไปว่าเรายอมให้สินค้าที่ต้องการชั่งสามารถผิดไปในทางมากกว่าหรือทางน้อยกว่าจากจำนวนที่ต้องการเป็นจำนวนเท่าใด   จากนั้นเราจึงจะสามารถกำหนดหาชั้นความเที่ยงได้ต่อไป รวมทั้งกำหนดประเภทและชนิดของเครื่องชั่งโดยคำนึงถึงปัจจัยหลายด้าน เช่น ลักษณะการทำงานต้องใช้แหล่งพลังงานจากภายนอกเครื่องชั่งหรือไม่   ตัวสินค้าเป็นแบบแห้งหรือเปียก   ติดไฟได้ง่ายหรืออาจระเบิดได้หรือไม่    ราคาของเครื่องชั่งแพงหรือถูกเมื่อซื้อมาใช้งานจะคุ้มทุนหรือไม่ พกพายกหรือเคลื่อนย้ายสะดวกหรือไม่   เครื่องชั่งต้องการเอาใจใส่ดูแลรักษามากน้อยเพียงใด มีความละเอียดอ่อนและต้องใช้ความรู้มากน้อยเพียงใดในการใช้เครื่องชั่ง เป็นต้น 
            การพิจารณาเลือกชั้นความเที่ยงของเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติมีหลักพิจารณาง่ายๆ ที่ว่า  
            1. กำหนดว่าสินค้าที่เราต้องการชั่งยอมให้มีผลผิดได้เท่าไหร่ ทั้งผลผิดฝ่ายมากและผลผิดฝ่ายน้อยจากค่าน้ำหนักที่ต้องการ
            2.เลือกเครื่องชั่งที่มีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดทั้งฝ่ายมากและฝ่ายน้อย (MPEWI) มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ใน 3 ของผลผิดสินค้าที่ยอมรับได้ (MPESMT)
            3.. เตรียมตุ้มน้ำหนักแบบมาตราที่มีชั้นความเที่ยงที่มีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด (MPESTD) น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ใน 3 ของอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดของเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติ
       
   สรุปในรูปของสมการได้ว่า
         
 
    ซึ่งถ้าหากค่า 1/3   เปลี่ยนเป็น 1/4 หรือ 1/5    ยิ่งมีค่าน้อยลงยิ่งดี แต่เครื่องชั่งก็ยิ่งมีราคาสูงขึ้นเพราะมีชั้นความเที่ยงสูงขึ้น หรือมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวเข้ามา ทำให้ต้องพิจารณาเพิ่มเติมอีกเช่นกัน
 
ตารางที่ 3 OIML R76-1 (Edition 1992)
 
ชั้น
ความเที่ยง
 
ค่าขั้นหมาย
มาตราตรวจรับรอง
จำนวนขั้นหมายมาตรา
ตรวจรับรอง
(n = Max/e)
พิกัดกำลังต่ำสุด(Min.)
ไม่น้อยกว่า
(Lower limit)
 
E
จำนวนต่ำสุด
จำนวนสูงสุด
 
ชั้น    II
0.001 ก. £ e £ 0.05 ก.
0.1 ก. £ e
100
5000
100 000
100 000
20e
500e
ชั้น    III
0.1 ก. £  e £  2 ก.
5 ก. £ e
100
500
10 000
10 000
20e
20e
ชั้น IIII
5 ก. £ e
100
1 000
10e
 
 
  
ตารางที่ 6 อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับการตรวจสอบให้คำรับรองชั้นแรก (Values of maximum permissible errors on initial verification) (OIML R76-1, Edition 1992)
อัตรา
น้ำหนักใช้ทดสอบ (m) แสดงในหน่วย
ของค่าขั้นหมายมาตราตรวจรับรอง (e)
เผื่อเหลือเผื่อขาด
ชั้น II
ชั้น III
ชั้น IIII
±0.5 e
0      £ m £     5 000
£ m £     500
0 £ m £     50
±1.0 e
5 000 < m £   20 000
500 < m £   2000
50 < m £   200
±1.5 e
20 000 <£ 100 000
2000 <£ 10000
200 < m £ 1000
หมายเหตุ สังเกตว่าช่วงน้ำหนักใช้ทดสอบ (m) แสดงในหน่วยของค่าขั้นหมายมาตราตรวจรับรอง (e) ของแต่ละชั้นความเที่ยงจะต่างกันอยู่เท่ากับ 10 เท่า
 
 
 
จำนวนขั้นหมายมาตราตรวจรับรอง(n = Max/e) จำนวนสูงสุดที่ควรได้ ?
            เมื่อมาถึงจุดนี้เราจึงมาพิจารณาเครื่องชั่งชั้นความเที่ยง III โดยเฉพาะ พบว่าเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรงนั้นควรมีจำนวนขั้นหมายมาตราตรวจรับรองสูงสุด (nmax) ไม่ควรเกิน 6,000 ช่อง
 
 
 
 จากตารางที่ 3 OIML R76-1 (Edition 1992) นั้นกำหนดให้เครื่องชั่งชั้นความเที่ยง III สามารถมีจำนวนขั้นหมายมาตราตรวจรับรองสูงสุดถึง 10,000 ช่อง แต่หากพิจารณาถึงความเป็นจริงและความน่าเชื่อถือของเครื่องชั่งแล้ว หากเครื่องชั่งเป็นเครื่องชั่งอิเล็คทรอนิคที่ใช้ “โหลดเซลล์” เพื่อใช้ในการวัดน้ำหนักในส่วนชั่งน้ำหนัก เราจะต้องคำนึงถึง dead load เช่น ถาดรองรับน้ำหนักหรือคานส่งถ่ายแรงจากถาดรองรับน้ำหนักต่างๆที่โหลดเซลต้องรับภาระก่อนที่จะเริ่มต้นการชั่งที่น้ำหนักเท่ากับศูนย์ เพื่อให้ผลการชั่งของเครื่องชั่งน่าเชื่อถือและให้ผลการชั่งสม่ำเสมอตลอดช่วงระยะเวลาทำการชั่ง   ดังนั้นเราจึงลดจำนวนขั้นหมายมาตราตรวจรับรองสูงสุด 10,000 ช่อง เหลือเพียง 6,000 ช่องโดยประมาณ ทั้งนี้เพื่อยอมให้โหลดเซลต้องรับภาระ dead load ประมาณ 4,000 ช่อง และสามารถชั่งน้ำหนัก (live load) ได้ประมาณ 6,000 ช่องนั้นเอง
 
 

 

 

ชั้นความเที่ยง

(OIML R76)

จำนวน

ขั้นหมายมาตราตรวจรับรอง

n = MAx/e

เครื่องชั่งรถยนต์บรรทุก

(Truck Scale or Lorry Weighers)

III

£  3,000 – 5,000

เครื่องชั่งสำหรับขายปลีกต่อสาธารณะชนโดยตรง

(Retail Scales)

III

£  6,000

Crane Weighers

III

£  2,000

 

             จากตารางข้างบนนี้ไม่ใช่เป็นกฎเกณฑ์อะไรที่ตายตัวมากนัก  เพียงเป็นการจากตารางข้างบนนี้ไม่ใช่เป็นกฎเกณฑ์อะไรที่ตายตัวมากนัก  เพียงเป็นการแนะนำค่าหรือเพื่อใช้เป็นแนวทางการจัดซื้อหรือใช้ในการออกแบบ  โดยช่วงค่าที่แนะนำนี้เป็นแนวความคิดค่อนไปทางอนุรักษ์นิยมน่ะครับ   แต่ผมชอบครับ  เพราะมั่นใจได้นานแม้นจะได้ผลการชั่งที่อาจจะหยาบไปบ้างก็ตาม

 
            แต่อย่างไรก็ดี หากผู้ผลิตเครื่องชั่งสามารถแสดงได้ว่าได้ใช้โหลดเซลซึ่งมีจำนวนขั้นหมายมาตราตาม OIML R61 ได้มาตรฐานเท่ากับหรือสูงกว่าโหลดเซลที่ควรเลือกใช้กับเครื่องชั่งชั้นความเที่ยง III แล้ว เราอาจสามารถเลือกหรือขยับมีจำนวนขั้นหมายมาตราตรวจรับรองจากไม่ควรเกิน 6,000 ช่อง ได้มากกว่านี้บางเล็กน้อยแต่ต้องไม่เกิน 70% ของจำนวนขั้นหมายมาตราตรวจรับรองสูงสุด 10,000 ช่อง (เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน) แต่ถ้าหากถามว่าสามารถยอมให้เครื่องชั่งไม่อัตโนมัติใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรงมีจำนวนขั้นหมายมาตราตรวจรับรองสูงสุด 10,000 ช่อง ได้หรือไม่ ก็ขอตอบว่าได้เนื่องจากยอมรับว่า OIML R76-1 (Edition 1992) เป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่ถ้าหากประเทศไทยจะกำหนดจำนวนขั้นหมายมาตราตรวจรับรองสูงสุดของเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรงลดลงให้เหลือ 6,000 ช่อง ก็สามารถกระทำได้และน่าจะดีกว่าด้วย
 
 
 
ข้อกำหนดเพิ่มเติมที่ควรมีสำหรับเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรง
            นอกจากเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติใช้เพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรงจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ OIML R76-1 (Edition 1992)   แล้ว   เครื่องชั่งดังกล่าวยังถูกเน้นในคุณสมบัติอื่นๆ อีก   ดังต่อไปนี้
1. ส่วนแสดงค่าหลัก (Primary indications)   ส่วนแสดงค่าหลักของเครื่องชั่งสำหรับใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรงต้องแสดงผลการชั่งและข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งการแสดงค่าศูนย์ที่ถูกต้อง, สภาวะการทำงานของส่วนทดน้ำหนัก (tare device) และส่วนกำหนดน้ำหนักทดล่วงหน้า (preset tare device)
2. ส่วนตั้งศูนย์ (Zero-setting device)   เครื่องชั่งสำหรับใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรงต้องไม่ประกอบด้วยส่วนตั้งศูนย์ไม่อัตโนมัติ ยกเว้นเป็นการสั่งให้ส่วนตั้งศูนย์ไม่อัตโนมัติทำงานด้วยเครื่องมือเฉพาะเท่านั้น 
สำหรับส่วนแสดงค่าแบบดิจิตอล ต้องมีผลผิดของส่วนตั้งศูนย์ (zero setting error) ไม่เกิน ± 0.25e
ผลกระทบการทำงานทั้งหมดของส่วนตั้งศูนย์และส่วนรักษาศูนย์ต้องไม่เกิน 4% ของพิกัดกำลังสูงสุดของเครื่องชั่ง
3.  ส่วนทดน้ำหนัก (Tare device)
            เครื่องชั่งแบบกลไกที่ประกอบด้วยส่วนรับน้ำหนักต้องไม่มีส่วนทดน้ำหนัก
            เครื่องชั่งแบบแท่นชั่งเดียวอาจมีส่วนทดน้ำหนักได้ถ้าหากทำให้ผู้ซื้อสามารถมองเห็น
- ส่วนทดน้ำหนักกำลังถูกใช้งานอยู่หรือไม่ และ
- การตั้งค่าของส่วนทดน้ำหนักได้มีการเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
ให้ส่วนทดน้ำหนักสามารถทำงานได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น เมื่อเครื่องชั่งยังคงทำงานอยู่
หมายเหตุ ข้อกำหนดการใช้งานนี้รวมถึงต้องเป็นไปตามข้อกำหนด 4.14.3.2 ย่อหน้าที่ 2, OIML R76-1 (Edition 1992)
            เครื่องชั่งต้องไม่ประกอบด้วยส่วนซึ่งสามารถเรียกค่าน้ำหนักรวม (Gross vale) ขณะที่มีส่วนทดน้ำหนัก หรือส่วนกำหนดน้ำหนักทดล่วงหน้าทำงานอยู่
                        3.1 ส่วนทดน้ำหนักไม่อัตโนมัติ (Nonautomatic tare device) ระยะการเคลื่อนที่ 5 มม.ของจุดควบคุมควรมีค่าเท่ากับ 1 ขั้นหมายมาตราตรวจรับรอง
                        3.2 ส่วนทดน้ำหนักกึ่งอัตโนมัติ (Semi-automatic tare device) เครื่องชั่งอาจประกอบด้วยส่วนทดน้ำหนักกึ่งอัตโนมัติ ถ้า
            - การทำงานของส่วนทดน้ำหนักต้องไม่ยอมให้มีการลดค่าของน้ำหนักที่ทดไว้ และ
            - ผลของการทดน้ำหนักสามารถถูกยกเลิกได้ก็ต่อเมื่อไม่มีน้ำหนักบนส่วนรับน้ำหนัก เท่านั้น
นอกจากนี้ เครื่องชั่งต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดอย่างน้อย 1 ข้อของข้อกำหนดต่อไปนี้
            1. ค่าน้ำหนักทดต้องถูกแสดงอย่างถาวรบนส่วนแสดงค่าน้ำหนักทด ซึ่งแยกออกมาจากการแสดงค่าน้ำหนักชั่งอย่างชัดเจน
            2. ค่าน้ำหนักทดต้องถูกแสดงด้วยเครื่องหมายลบ (“-”) เมื่อไม่มีน้ำหนักใด ๆ บนส่วนรับน้ำหนัก หรือ
            3. ผลของการทำงานของส่วนทดน้ำหนักถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ และส่วนแสดงค่ากลับมาแสดงค่าศูนย์เมื่อไม่มีน้ำหนักบนส่วนรับน้ำหนักหลังการแสดงผลการชั่งที่น้ำหนักสุทธิมากกว่าศูนย์
            3.3 ส่วนทดน้ำหนักอัตโนมัติ (Automatic tare device) เครื่องชั่งต้องไม่ประกอบด้วยส่วนทดน้ำหนักอัตโนมัติ
4.  ส่วนกำหนดน้ำหนักทดล่วงหน้า (Preset tare device) อาจมีส่วนกำหนดน้ำหนักทดล่วงหน้าได้ถ้ามีการแสดงค่าน้ำหนักทดที่ตั้งไว้ล่วงหน้าบนส่วนแสดงค่าน้ำหนักหลักในส่วนของจอซึ่งแยกแสดงผลแตกต่างออกจากผลการชั่งอย่างชัดเจน   และเป็นไปตามข้อกำหนด 4.14.3.2 วรรคแรก OIML R76-1 (Edition 1992)
            ส่วนกำหนดน้ำหนักทดล่วงหน้าต้องไม่สามารถทำงานได้ขณะที่ส่วนทดน้ำหนักกำลังทำงานอยู่
            เมื่อส่วนกำหนดน้ำหนักทดล่วงหน้าประกอบด้วย price look up; PLU   ค่าน้ำหนักทดล่วงหน้าอาจถูกยกเลิกพร้อมกับการยกเลิก price look up; PLU
5. การห้ามชั่ง (Impossibility of weighing) ต้องไม่สามารถทำการชั่งหรือกำหนดการเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนแสดงค่า (indicating element) ระหว่างเครื่องชั่งอยู่ในตำแหน่งล็อคปกติ หรือระหว่างการทำงานเพิ่มหรือลดน้ำหนักตามปกติ
6.  การมองเห็น (Visibility)   ส่วนแสดงค่าหลักทุกส่วนต้องแสดงผลการชั่งแก่ผู้ซื้อและผู้ขายให้เห็นพร้อมๆกันอย่างชัดเจน   สำหรับเครื่องชั่งที่มีส่วนแสดงค่าหลักแบบดิจิตอล ตัวเลขหรือสัญลักษณ์สำหรับการแสดงค่าผลการชั่งต้องมีขนาดสัดส่วนเท่ากันทั้งด้านที่แสดงแก่ผู้ซื้อและผู้ขาย และต้องสูงอย่างน้อย 10 มม. ±0.5 มม. 
            สำหรับเครื่องชั่งซึ่งใช้ตุ้มน้ำหนักประกอบการชั่ง ต้องแสดงค่าของตุ้มน้ำหนักดังกล่าวอย่างชัดเจน
            เมื่อผู้ซื้อยกสินค้าออกจากส่วนรองรับหรือถาดรับน้ำหนัก ค่าผลการชั่งน้ำหนักรวมทั้งราคาต่อหน่วยและราคาทั้งหมดที่ต้องจ่ายต้องยังคงแสดงผลค้างไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งหลายวินาทีที่เพียงพอต่อผู้ซื้อจะสามารถอ่านผลดังกล่าวได้ครบ
7. ส่วนแสดงช่วยเสริมและส่วนแสดงผลขยาย (Auxiliary and extended indicating devices)  เครื่องชั่งต้องไม่ประกอบด้วยทั้งส่วนแสดงช่วยเสริม (Auxiliary indicating device) และส่วนแสดงผลขยาย (Extending indicating device)
8. อัตราส่วนการนับ (Counting ratio) อัตราส่วนการนับของเครื่องชั่งที่มีการนับค่าแบบกลไก (a mechanical counting instrument) ต้องมีค่าเท่ากับ 1/10 หรือ 1/100
9.  หากเครื่องชั่งสำหรับใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรงมีส่วนแสดงราคา (Additional requirements for an instrument for direct sales to the public with price indication) ข้อกำหนดต่อไปนี้เป็นข้อกำหนดเสริมเพิ่มเติม
              9.1 การแสดงค่าหลัก (Primary indications) สำหรับเครื่องชั่งที่แสดงราคาได้ (a price-indicating instrument) การแสดงเสริมเพิ่มเติมการแสดงค่าหลัก (the supplementary primary indications) มีได้คือการแสดงราคาต่อหน่วย และจำนวนเงินที่ต้องจ่าย และอาจเป็นไปได้ที่จะมีการแสดงจำนวน, ราคาต่อหน่วย และจำนวนเงินที่ต้องจ่ายสำหรับสินค้าประกอบอื่นๆที่ยังไม่มีการชั่ง, ราคาของสินค้าประกอบอื่นๆที่ยังไม่มีการชั่งและราคารวมทั้งหมด  ในส่วนของกราฟแสดงราคาสินค้าไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามข้อกำหนดนี้
                        9.2 เครื่องชั่งที่คำนวณราคาได้ (Price computing instrument) จำนวนเงินที่ต้องจ่ายที่ได้จากการคำนวณจากการคูณน้ำหนักที่ชั่งได้กับราคาต่อหน่วยและถูกปัดเศษให้ใกล้เคียงกับขั้นหมายมาตราราคาที่ต้องจ่ายที่ใกล้ที่สุด โดยการคำนวณต้องนำค่าน้ำหนักและราคาต่อหน่วยตามที่แสดงไว้โดยเครื่องชั่ง  ส่วนที่ทำการคำนวณไม่ว่าในกรณีใดๆถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องชั่ง
            ขั้นหมายมาตราราคาที่ต้องจ่ายต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดและกฎหมายของแต่ละประเทศนั้นๆ ต่อไป
ราคาต่อหน่วยต้องแสดงราคาในรูป   ราคาต่อ 100 ก. หรือ ราคาต่อ 1 กก.
            เมื่อเปลี่ยนภาระน้ำหนักบนเครื่องชั่งโดยผู้ซื้อหรือผู้ขายยกสินค้าออกจากเครื่องชั่งแล้ว เครื่องชั่งต้องแสดงผลการชั่งก่อนหน้านี้ด้วยช่วงระยะเวลานานกว่า 1 วินาที   แล้วการแสดงค่าน้ำหนัก, ราคาต่อหน่วย และจำนวนเงินที่ต้องจ่ายต้องยังคงแสดงให้เห็นอยู่หลังจากการแสดงค่าน้ำหนักแสดงค่าคงที่เสถียรภาพแล้ว และแม้หลังจากทำการป้อนค่าราคาต่อหน่วยและขณะที่สินค้าอยู่บนส่วนรับน้ำหนักก็ต้องแสดงค่าค้างไว้อย่างน้อยสุด 1 วินาที
            นอกจากเมื่อเปลี่ยนภาระน้ำหนักบนเครื่องชั่งโดยผู้ซื้อหรือผู้ขายยกสินค้าออกจากเครื่องชั่งแล้ว เครื่องชั่งต้องแสดงผลการชั่งก่อนหน้านี้ด้วยช่วงระยะเวลานานกว่า 1 วินาที หรือการแสดงค่านี้อาจยังคงแสดงค่าอยู่ไม่เกิน 3 วินาทีหลังจากเอาของที่ชั่งออกไป ถึงแม้ว่าการแสดงค่าน้ำหนักได้อยู่ในสภาวะเสถียรอยู่ก่อนแล้วและเป็นการแสดงค่าศูนย์ ตราบที่มีการแสดงค่าน้ำหนักหลังจากเอาของที่ชั่งออกไปแล้วการที่ป้อนหรือเปลี่ยนค่าราคาต่อหน่วยใหม่ต้องกระทำไม่ได้
            หากมีการซื้อขายด้วยการแสดงผลการชั่งของเครื่องชั่งด้วยการพิมพ์ ข้อมูลจากเครื่องชั่งที่ต้องถูกพิมพ์แสดงไว้ได้แก่ ค่าน้ำหนัก, ราคาต่อหน่วย และจำนวนเงินรวมที่ต้องจ่าย
ถ้าหากเครื่องชั่งถูกออกแบบให้สามารถเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำของเครื่องชั่งก่อนทำการพิมพ์ ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่สามารถถูกส่งไปยังส่วนพิมพ์ค่าเพื่อทำการพิมพ์บนตั๋วสำหรับลูกค้าซ้ำอีกในครั้งถัดไป
เครื่องชั่งที่สามารถพิมพ์ป้ายหรือแถบแสดงราคาได้ต้องเป็นไปตามข้อกำหนด 4.17, OIML R76-1 (Edition 1992) ด้วย
                        9.3 เครื่องชั่งสำหรับบริการตนเอง (Self-service instrument)    เครื่องชั่งสำหรับบริการตนเองไม่จำเป็นต้องมีส่วนแสดงค่าผลการชั่งจำนวน 2 ส่วนหรือหน้าปัด  ถ้าหากเครื่องชั่งสามารถพิมพ์ผลการชั่งด้วยตั๋วหรือแถบกระดาษ การแสดงผลหลักต้องครอบคลุมถึงเวลาที่ทำการใช้เครื่องชั่งด้วยชนิดสินค้าที่แตกต่างกัน
 
         
 
   และในตอนท้ายสุดเพื่อเป็นการย้ำเตือนในที่นี้ว่า   คุณสมบัติของเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรง (Weighing Instrument for direct sale to the public) ที่ได้กล่าวทั้งหมดในส่วนนี้แล้วเครื่องชั่งต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ใน OIML R76-1 (Edition 1992)   หากพบว่ามีชิ้นส่วน หรือหลักการทำงานใด หรืออื่นๆ ก็ให้นำข้อกำหนดของ OIML R76-1 (Edition 1992)  เข้ามาประยุกต์ใช้งานได้ทันที
            สามารถอ่านรายละเอียดและเนื้อหาของ OIML R76-1 (Edition 1992) ในฉบับแปลเป็นภาษาไทยได้ในหนังสือ “การตรวจสอบต้นแบบเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติ (Pattern Approval of Nonautomatic Weighing Instruments)” วีระศักดิ์, โสภณ, สาธิต สำนักงานกลางชั่งตวงวัด กระทรวงพาณิชย์
 
 

 

เนื้อความต่อไปนี้   ถือเป็นข้อความที่เขียนเพิ่มเติม  ถือเป็นหลักคิดมุมมองที่จะสงวนไว้กับงานชั่งตวงวัดตามข้อบัญญัติของกฎหมาย (Legal Metrology) ของราชอาณาจักรไทย  ในมุมมองของตัวเรา  ถูกผิดก็คิดตามกันไป  ไม่ต้องเชื่อถือ  แต่ขอให้เริ่มคิดและ/หรือรับความคิดนี้เข้าไปพิจารณา    เรามาเริ่มกัน......

 

Local & Global

            วลีนี้เราจะใช้บ่อย “Local & Global” เมื่อมีโอกาสที่ต้องอธิบายต่อบุคคลที่ต้องอธิบายหรือให้ความรู้กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคล  แล้วแต่จังหวะชีวิตที่มีขึ้นๆลงๆ    ทั้งนี้เพราะความคิดหรือหลักคิดดังกล่าวมันเกิดจากได้อ่าน กฎกระทรวงพาณิชย์ฯ ที่ออกภายใต้พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2466 ตอนที่ต้องทำหน้าที่ร่างกฎกระทรวงพาณิชย์ฯ ซึ่งออกภายใต้พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542  อีกทั้งเมื่อหวนกลับไปนึกคำสอนที่บุคคลที่ยกไว้เหนือหัวซึ่งจำในรายละเอียดเป็นคำๆ ไม่ได้  แต่จำได้โดยหลักการว่า “เมื่อเราไปเรียนรู้ความรู้ของโลกตะวันตก  เมื่อกลับมาบ้านเราให้นำความรู้ของโลกตะวันตกมาประยุกต์ (Adapt) ให้เข้ากับเศรษฐกิจสังคม วิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรม และ ฯลฯ  แต่อย่านำความรู้ของโลกตะวันตกมาใช้กับบ้านเราทั้งหมด (Adopt)  โดยไม่ขัดเกลาและปรับใช้......

            อะไรคือ Localหรือ “ท้องถิ่น” หากราชอาณาจักรไทยต้องอยู่ร่วมกับสังคมโลกที่มีพลวัตร  “Local” ก็คือราชอาณาจักรไทย  ส่วน “Global” ก็คือ โลกใบสีฟ้าใบนี้   ส่วนวันนี้โลกจะเป็น Globalization หรือเริ่มเข้าสู่ Non Globalization ก็ว่ากันไป  เพราะประชาธิปไตยแบบโลกตะวันตกมันชอบแบ่งขั้ว  มันอยู่ร่วมกันกับสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายไม่ได้  มันคิดว่ามันดีและเก่งคนเดียว   โดยเฉพาะสหรัฐ  มันก็ชอบขีดแบ่งเส้นชัดเจนโดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของสหรัฐ  มันจึงเกิดสงครามกลางเมืองสหรัฐฆ่ากันตายแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้  ในสงครามกลางเมืองในประวัติศาสตร์ของชาติสหรัฐ  โดยสุดท้ายฝ่ายเหนือชนะ แต่คนภายในประเทศสหรัฐฆ่ากันตายกันอย่างมากมายมหาศาล    วันนี้สหรัฐอยากนำความเชื่อของสหรัฐเองเข้าสู่โลกภายนอก คุณต้องเลือกข้างไม่อยู่กับผมก็เป็นศัตรูกับผมว่าอย่างนั้นเถอะ.. มันน่าเศร้าใจ..   เอาละกลับมายังเรื่องของเรา   ในความคิดของเราคำว่า “Local” คือเครื่องชั่งตวงวัดประจำถิ่น หรือเครื่องชั่งตวงวัดที่มีและนิยมใช้ ตลอดจนผลิตได้เองภายในประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของระบบเศรษฐกิจและสังคม  การเข้าถึงเครื่องชั่งตวงวัดที่ผลิตได้เองจากอุตสาหกรรมประจำถิ่น  การลดการพึ่งพาเครื่องชั่งตวงวัดจากโลกภายนอก ตลอดจนเป็นเครื่องชั่งตวงวัดที่ฝังติดอยู่ในวิถีชีวิตของประชาชนภายในราชอาณาจักรไทย  แต่ก็ด้วยภายใต้เทคโนโลยีของประจำถิ่นนี้เองจึงอาจเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ได้สูงส่งเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีของสากล  พูดเพราะๆ คือภูมิปัญญาท้องถิ่นว่างั้นเถอะ   การเป็นข้าราชการแผ่นดินก็ต้องสงวนและรักษาอุตสาหกรรมประจำถิ่นและส่งเสริม กระตุ้นให้อุตสาหกรรมประจำถิ่นถีบตัวเองให้มีขีดความสามารถสูงขึ้นๆๆ  เรื่อยๆ  เพื่อสามารถท้าทายกับเครื่องชั่งตวงวัดจากภายนอกประเทศทั้งนี้เพราะกฎหมายของราชอาณาจักรไทยจะคุ้มครองอุตสาหกรรมประจำถิ่นไม่ได้ตลอดเวลาหากต้องอยู่ในสังคมโลก  เช่นอยากเห็นผู้ผลิตเครื่องชั่งสปริงสามารถผลิตเครื่องชั่งไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐาน OIML R76  อยากเห็นผู้ผลิตมาตรวัดปริมาตรน้ำมันเชื่อเพลิงจ่ายก่อนเติมหรือปั๊มหยอดเหรียญพัฒนาตนเองเป็นผลิตตู้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตามสถานีบริการของปั๊ม ปตท. ตามมาตรฐาน OIML R117 เป็นต้น   ก็หวัง..และฝันน่ะ...........  ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมประจำถิ่นที่ผลิตเครื่องชั่งตวงวัดหากไม่ปรับตัวและพัฒนา  อุตสาหกรรมประจำถิ่นมันจะตายลงไป  ยิ่งแข่งขันกันลดราคาเครื่องชั่งตวงวัดแล้วหันมาลดคุณภาพเครื่องชั่งตวงวัดประจำถิ่น   นั้นเป็นสัญลักษณ์ของความล้มสลายหายนะ  เพียงแต่จะเร็วหรือช้าก็ว่ากันไป     ในขณะเดียวกันเราก็ต้องรักษาและคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนในราชอาณาจักรไทยด้วยกัน   ดังนั้นในการร่างกฎกระทรวงในสมัยนั้น (พ.ศ. 2539-2542) เราจึงต้องสร้างความสมดุลยระหว่างการคุ้มครองอุตสาหกรรมประจำถิ่นและการคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนจากเครื่องชั่งตวงวัดประจำถิ่น  หรือ “Local Weighing & Measuring Devices” หรือเรียกสั้นๆว่า “Local”

           Local  ที่กล่าวถึง  ตัวอย่างเช่น เครื่องชั่งสปริง  เครื่องตวงของแห้ง เครื่องตวงน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดสูบ ฯลฯ  รวมทั้งมาตราชั่งตวงวัดในระบบประเพณีที่เทียบเข้าหาระบบเมตริก  แนบท้ายพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2466 จนมาถึง... พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัดพ.ศ. 2542   นับวันนี้ก็ 100 ปี (พ.ศ. 2566) เข้าไปแล้ว 

            ส่วน “Global Weighing & Measuring Devices” หรือเรียกสั้นๆว่า “Global” เป็นเครื่องชั่งตวงวัดที่ผลิตจากต่างประเทศที่มีเทคโนโลยีทั้งสูงและต่ำ  เราในฐานะข้าราชการของแผ่นดินก็ต้องตั้งกำแพงทางเทคนิคที่ไม่ขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งราชอาณาจักรไทยไปทำไว้กับ WTO เป็นต้น   เพื่อให้เครื่องชั่งตวงวัดที่ดีมีคุณภาพเท่านั้นที่จะถูกโยนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมของราชอาณาจักรไทย  โดยเรายังมีหลังพิงฝากำหนดตามมาตรฐาน OIML   เพราะเราไม่อยากให้ราชอาณาจักรไทยนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าๆ ซึ่งที่แท้จริงคือขยะอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ออกนอกเรื่องจนได้เรา       ทั้งนี้เพราะเครื่องชั่งตวงวัดถูกใช้ตีมูลค่าการซื้อขายสินค้าและบริการของราชอาณาจักรไทยมูลค่ามหาศาล   รวมถึงเครื่องชั่งตวงวัดถูกใช้เพื่อการบังคับใช้กฎหมาย ถูกใช้เพื่อเครื่องชั่งตวงวัดในงานสาธารณะสุข  ถูกใช้ในงานด้านความปลอดภัย (Safety)  และถูกใช้งานงานด้านสิ่งแวดล้อม   แต่วันนี้สำนักงานกลางชั่งตวงวัด (Central Bureau Of Weights & Measures; CBWM) เราทำได้เพียงขอบข่ายเดียวคืองานด้านการค้าสินค้าและบริการ  เพราะดันมาอยู่ในองค์กรผิดที่  เอาต้นมะพร้าวไปปลูกบนภูเขา แล้วเอาไม้สักมาปลูกไว้ที่เกาะชายทะเล  มันก็ตาย…...สิ..  (หาเรื่องอีกแล้ว  ตู)

   

 

Local & เครื่องชั่งใช้ชั่งเพื่อการซื้อขายต่อสาธารณะโดยตรง (Weighing Instrument for direct sale to the public)

            ให้ตรงประเด็นเรื่องที่เราจะคุยกันคือ “เครื่องชั่งสปริง” ถือว่าเป็นเครื่องชั่งประจำถิ่น  เครื่องชั่งจากอุตสาหกรรมประจำถิ่น   เครื่องชั่งที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า พกพาได้สะดวก ทนทุกสภาพอากาศ รองรับคุณภาพชีวิตตามอันพึ่งมีของแต่ละสังคมของราชอาณาจักรไทยที่ไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวย หรือรวยกระจุกจนกระจาย   เป็นเครื่องชั่งที่ใช้ชั่งสิ่งของที่เกี่ยวข้องชีวิตประจำวันในการดำรงชีวิตของสังคมส่วนใหญ่ของประเทศ  ประชาชนชาวไทยในราชอาณาจักรไทยสามารถเข้าถึงเครื่องชั่งสปริงได้อย่างมั่นคงเสถียรภาพและเพียงพอ ไม่ต้องพึงพาเครื่องชั่งตวงวัดจากภายนอกประเทศ เพราะเราตั้งกำแพงกีดกั้นทางเทคนิค  ถ้าไม่เชื่อก็ยกเลิกกฎหมายที่กำหนดให้เครื่องชั่งสปริงต้องมี 2 หน้าออกสิครับ ปรับค่าอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดหน่อย  ตกแต่งข้อความเล็กน้อย    เครื่องชั่งจากจีน เวียดนาม มาเลเซีย หลุดเข้าราชอาณาจักรไทยสบาย   ผลตามมาอุตสาหกรรมประจำถิ่นรายที่อ่อนแอป๋อแป่  ต้นทุนต่ำสายป่านสั้น  ผลิตเครื่องชั่งสปริงคุณภาพต่ำเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าไปเรื่อยๆ  ไม่มี Branding ที่เข็มแข็งจะเป็นรายแรกที่ตายทันทีภายในเวลา 1 ปีหรือเร็วกว่านั้น    การคุ้มครองและส่งเสริมรักษาอุตสาหกรรมประจำถิ่นด้วยการกำหนดไม่ให้ดำเนินการตรวจสอบให้คำรับรอง “ชั้นหลัง” ก็ยิ่งถือว่าส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรมประจำถิ่นชนิดนี้อย่างโดยแท้แล้ว แถมมีนายตรวจชั่งตวงวัดเข้าตรวจสอบการใช้เครื่องชั่งในตลาดสดเก็บกวาดเครื่องชั่งสปริงที่ให้ผลการชั่งผิดไม่ว่าโดยเจตนาหรือเสื่อมสภาพด้วยคุณภาพและ/หรือจากการใช้งานเป็นมาตรการเสริมเข้าไป ยิ่งเป็นการส่งเสริมและเกื้อกูลอุตสาหกรรมประจำถิ่นเครื่องชั่งสปริงโดยทางอ้อมเข้าไปอีก   ถือว่าโชคดีขนาดนั้นว่าเถอะ   นอกจากนี้เครื่องชั่งสปริงยังเป็นเครื่องชั่งที่ฝังตัวลึกและแยกออกจากวิถีชีวิตของเศรษฐกิจและสังคมไทยยากเย็นเข็ญใจ  ถึงแม้จะมี Modern Trade ใช้เครื่องชั่งไฟฟ้าในการซื้อขายสินค้าและบริการเพื่อให้เราเดินจ่ายตลาดภายใต้แอร์เย็นฉ่ำที่ได้คิดค่าแอร์รวมเข้าไปกับราคาสินค้าและบริการที่ขายให้เราแล้วก็ตามที   แต่อย่าลืมหัวข้อสำคัญ   คือเพราะเราทั้งหลายเป็นคนไทยชั่งตวงวัดจึงต้องดูแลทั้งภาคอุตสาหกรรมประจำถิ่นของราชอาณาจักรไทยแล้วยังต้องดูแลรักษาประชาชนชาวไทยด้วยเช่นกัน   ต้องรักษาจุดสมดุลยครับ

            เนื่องจากเครื่องชั่งสปริงเป็นเครื่องชั่งประจำถิ่น  อีกทั้งใช้เพื่อการซื้อขายสินค้าและบริการต่อสาธารณะโดยตรง  แล้วเราจะจัดให้มันอยู่ชั้นความเที่ยงใดของเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติละ  เอาอย่างนี้ถ้าเป็นเครื่องชั่งที่ผลิตจากต่างประเทศนำเข้ามาเพื่อใช้ในการซื้อขายสินค้าและบริการต่อสาธารณะโดยตรง  เราก็บังคับให้เครื่องชั่งดังกล่าวต้องเป็นเครื่องชั่งชั้นความเที่ยงชั้น III  อย่างไม่ต้องสงสัยโดยต้องเล่นตามกติการ OIML R76   ชั่งตวงวัดรักษาผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทยครับ   โดยปกติแล้วเครื่องชั่งชั้นความเที่ยง II, III, และ IIII  จะมีค่าขั้นหมายมาตราตรวจรับรอง e = d  ดังในแถวแรกใน Table 2 OIML R76-2006 ดังรูปข้างล่าง  แต่หากผู้ผลิตบอกว่าเครื่องชั่งที่ตนผลิตมีขีดความสามารถสูงกว่านี้หรือต่ำกว่านี้ก็เล่นตามกติกาตามแถวที่ 2 ใน Table 2 OIML R76-2006  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชั้นความเที่ยง I, และ II 

Table 2   OIML R76-1 (Edition 2006)

 

            แต่บังเอิญเป็นเครื่องชั่งสปริงที่เป็นเครื่องชั่งประจำถิ่นผลิตเองใช้เองภายในราชอาณาจักรไทย  หากไม่ปรับใช้ (Adapt) กำหนดให้อยู่ในชั้นความเที่ยง III เพราะเป็นเครื่องชั่งเพื่อใช้ซื้อขายสินค้าและบริการต่อสาธารณะโดยตรง  อย่างเช่นที่เราทำกับเครื่องชั่งที่ผลิตและนำเข้าจากต่างประเทศ  รับรองเลยครับว่าไม่สามารถตรวจสอบให้คำรับรองเครื่องชั่งสปริงได้เพราะเครื่องชั่งสปริงมีผลผิดเกินค่าอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดของเครื่องชั่งชั้นความเที่ยง III ที่กำหนดไว้ ณ พ.ศ. 2539-2542 ใน กฎกระทรวง กำหนดเครื่องวัดที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ชนิด ลักษณะ รายละเอียดของวัสดุที่ใช้ผลิต อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด และคำรับรองของเครื่องชั่งตวงวัด และหลักเกณฑ์และวิธีการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. 2546 ลงวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2546    

ด้วยเหตุนี้เราก็นึกหลักคิดคือ “Local”  จึงกำหนดให้เครื่องชั่งสปริงมีลักษณะตามที่อุตสาหกรรมประจำถิ่นสามารถดำเนินการได้และดำเนินการอยู่  อีกทั้งสามารถดำเนินการได้ต่อไปและไม่ขัดกับกฎหมาย และ/หรือ มีกฎหมายรองรับอย่างเหมาะสมและสามารถคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนภายในราชอาณาจักรไทย  สร้างความสมดุลในสังคมไทยให้อยู่กันอย่างร่มเย็น  ก็ได้กำหนดอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดของเครื่องสปริงไว้ดังในตารางข้างล่าง  โดยไม่จัดให้อยู่ในชั้นความเที่ยง III เพราะผู้ผลิตเครื่องชั่งอุตสาหกรรมประจำถิ่นมีเทคโนโลยีและขีดความสามารถไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานสากล   แต่ครั้นจะลดคุณภาพให้เครื่องชั่งสปริงโดยปรับลดจัดให้เครื่องชั่งสปริงไปอยู่ในชั้นความเที่ยง IIII  ก็จะเป็นการไม่คุ้มครองผู้บริโภคหรือประชาชนเนื่องเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติชั้นความเที่ยง IIII  เป็นเครื่องชั่งที่หยาบมีความเที่ยงต่ำไม่เหมาะสมที่จะใช้เพื่อการชั่งซื้อขายปลีกต่อสาธารณะโดยตรงได้  อีกทั้งไม่เป็นการสนับสนุนหรือกระตุ้นให้อุตสาหกรรมประจำถิ่นเครื่องชั่งสปริงมีการพัฒนาตนเองให้ผลิตเครื่องชั่งให้มีคุณภาพสูงขึ้น   ความคิดเช่นนี้ถือว่าขัดกับหลักการธรรมชาติคือ ผู้เข้มแข็งอยู่รอดผู้อ่อนแอไม่ปรับตัวก็ตาย   แต่อย่างว่าเราเป็นคนไทยใจมันอ่อน...

 

 

ตารางอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดเครื่องชั่งสปริง ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดชนิดและลักษณะของเครื่องชั่ง รายละเอียดของวัสดุที่ใช้ผลิตเครื่องชั่ง อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ห้ามการให้คำรับรองชั้นหลัง และอายุของคำรับรอง ประกาศ ณ วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560.

 

            เรามาลองดูกันว่าเมื่อเราจัดให้เครื่องชั่งสปริงอยู่ในเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติชั้นความเที่ยง IIII  โดยยึดกติการ OIML R76-2006 คือ e =d   ตัวอย่างเครื่องชั่งสปริง 15 กก.  d = 100 g = e  ดังนั้น  n = 15,000 g/100 g = 150  ช่องขั้นหมายมาตรา  พบว่ามีจำนวนขั้นหมายมาตราไม่เกิน 1,000 ช่องถือว่าผ่านเกณฑ์เรื่องจำนวนช่องขั้นหมายมาตรา   แต่หากจัดเครื่องชั่งสปริงให้อยู่ในชั้นความเที่ยง III  ก็ได้เช่นกันใช่?  เพราะมีค่า n ไม่เกิน 10,000 ช่อง  แต่ช้าก่อนเมื่อไล่คำนวณอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดจะพบว่ามันไม่ใช่ดังที่คิดเลยดังในตารางที่ ก ข้างล่าง

 

ตารางที่ ก  OIML R76-1 (Edition 1992)

 

ชั้น

ความเที่ยง

 

ค่าขั้นหมาย

มาตราตรวจรับรอง

จำนวนขั้นหมายมาตรา

ตรวจรับรอง

(n = Max/e)

พิกัดกำลังต่ำสุด(Min.)

ไม่น้อยกว่า

(Lower limit)

 

e

จำนวนต่ำสุด

จำนวนสูงสุด

 

ชั้น    III

0.1 £  e  £  2 .

5 £  e

100

500

10 000

10 000

20e

20e

ชั้น  IIII

5 £  e

100

1 000

10e

 

            เงื่อนไขต่อมาที่ต้องพิจารณาคือ  ไม่ควรใช้เครื่องชั่งน้ำหนักที่มีค่าต่ำกว่าค่าพิกัดกำลังต่ำสุด (Min) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 10e  = 1,000 g = 1 kg ในกรณี่ที่จัดให้เครื่องชั่งสปริงอยู่ในชั้นความเที่ยง IIII   นี้แหละเงื่อนไขห้ามใช้เครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลัง 15 kg ชั่งน้ำหนักต่ำกว่า 1 kg  จากเดิมที่กำหนดไว้ 500 ซึ่งก็มากอยู่แล้ว   ซึ่งในบริบทวิถีชีวิตจริงในสังคมไทย  เราก็ใช้ซื้อขายเนื้อหมู 1 - 2 ขีด หรือ 100 – 200 เราซื้อผักคะน้าครึ่งกิโลกรัม หรือ 500   และ ฯลฯ พูดง่ายๆว่า  ผลการชั่งที่ 0 – 1,000 เป็นช่วงที่มีการใช้งานจริงๆในวิถีชีวิต  มากน้อยขึ้นอยู่กับท้องถิ่นนั้นๆ ว่ายากดีมีจนกันมากน้อยเท่าใด ดังนั้นการกำหนดให้เครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลัง 15 kg ที่มีค่า Min 500 g  เลยต้องคุมด้วยอัตราเผื่อเหลือขาดที่น้ำหนักทดสอบไม่เกิน 2.5 kg ต้องผิดไม่เกิน 25 g   (2.5*100/500 = 0.5%)

            ในการกำหนดชั้นความเที่ยงของเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติตาม OIML R76  หรืออีกนัยหนึ่งก็คือตามกฎกระทรวง หรือประกาศกระทรวงพาณิชย์ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งก็ร่างโดยยึดหลักพื้นฐานตาม OIML R76  ได้กำหนดให้มีตัวแปรที่ใช้คือ  Max, Min, n และ  ดังนั้นอย่าเพียงสนใจแต่  Max, n และ โดยไม่สนใจหรือมองข้าม Min  ดังนั้นจึงมีคำถามว่าทำไม OIML R76 ถึงไม่ให้ใช้เครื่องชั่งเพื่อชั่งน้ำหนักที่มีค่าต่ำกว่าค่าพิกัดกำลังต่ำสุด (Min) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 10e  = 1,000 g = 1 kg   ให้กลับไปอ่านให้ละเอียด  แต่จะสรุปไว้ให้เข้าใจในเบื้องต้นก็คือ การชั่งที่มีค่าน้ำหนักต่ำกว่า Min นั้นเป็นช่วงการชั่งที่ให้ผลผิดสัมพันธ์ (Relative Error) สูงมากจนเกินไป  หรือพูดนิ่มๆ ว่าเป็นช่วงการชั่งที่ไม่ควรใช้ชั่ง   แต่หากใครไปใช้ก็เรื่องของมันอย่างนั้นหรือ ?????    ในฐานะข้าราชการของแผ่นดินมันวังเวง  ทุเรศใจมากน่ะ   มันจะไม่ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคประชาชนทั่วไปบ้างหรือ  ลูกชาวบ้านอย่างผมก็ต้องรับกรรมให้กับ......  เหมือนเดิม????

 

ตารางที่ ข  อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับการตรวจสอบให้คำรับรองชั้นแรก  (Values of maximum permissible errors on initial verification) (OIML R76-1, Edition 1992)

อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด

น้ำหนักใช้ทดสอบ (m)  แสดงในหน่วยของค่าขั้นหมายมาตราตรวจรับรอง (e)

 

ชั้น  III

ชั้น  IIII

±0.5 e

£  m  £     50,000 g

0 £  m £  5,000 g

±1.0 e

50,000 g <  m  £   200,000 g

5,000 g < m £ 20,000 g

±1.5 e

200,000 g <£ 1,000,000 g

20,000 g < m £ 100,000 g

 

            เราจึงมาคิดอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดที่ค่าเท่ากับและต่ำกว่าค่า Min  เพื่อพิจารณาช่วงการชั่งที่ให้ผลผิดสัมพันธ์ (Relative Error) สูงมากจนเกินไป ในที่นี้ก็อยู่ในช่วงตั้งแต่ 5% ถึง 50%   คือ

ที่ 1,000เครื่องชั่งสปริงมีผลผิดได้ ±0.5(100 g) = ± 50 g  หรือคิด Relative Error เป็น 50 x100/1000 = 5%

ที่ 500เครื่องชั่งสปริงมีผลผิดได้ ±0.5(100 g) = ± 50 g  หรือคิด Relative Error เป็น 50 x100/500 = 10%

ที่ 100เครื่องชั่งสปริงมีผลผิดได้ ±0.5(100 g) = ± 50 g  หรือคิด Relative Error เป็น 50 x100/100 = 50%

            ดังนั้นในประกาศกระทรวงฯ พ.ศ. 2560 จึงกำหนดให้เครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลัง 15 kg ที่มีค่า Min 500 g  และคุมด้วยอัตราเผื่อเหลือขาดที่น้ำหนักทดสอบไม่เกิน 2.5 kg ต้องมีผลผิดไม่เกิน 25 g   (2.5*100/500 = 0.5%)...   เข้าใจหรือยังขอรับ....ท่าน

            หากจะกำหนดให้เครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลัง 15 kg อยู่ในชั้นความเที่ยง III  จะมีผิด ±0.5e  = ± 50 g  คงที่ตลอดช่วงการชั่งถึง 15 kg (ดูตารางที่ ข)  ในขณะเดียวกันก็มีค่า Min = 20e = 2,000 g  หรือ 2 kg นั้นคือเครื่องชั่งสปริงใช้งานชั่งน้ำหนักได้แต่ห้ามต่ำกว่า 2 kg หนักเข้าไปอีก   คำว่า Local  เริ่มเข้ามาในใจของเรากันหรือยัง  มันคือ Trailer Make  เราต้องหาสิ่งที่เหมาะสมกับเรา 

            เมื่อมีการปรับปรุงแก้ไข พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2557  เกิดมี “คณะกรรมการชั่งตวงวัด” เพื่อทำหน้าที่พิจารณากฎหมายในเชิงเทคนิคแล้วให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ในการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์  ดังนั้นกฎกระทรวงเดิมๆ ที่เกี่ยวข้องทางเทคนิคก็ถูกปรับลดลงให้เป็นประกาศกระทรวงฯ   ซึ่งได้มี ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดชนิดและลักษณะของเครื่องชั่ง รายละเอียดของวัสดุที่ใช้ผลิตเครื่องชั่ง อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ห้ามการให้คำรับรองชั้นหลัง และอายุของคำรับรอง ประกาศ ณ วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560   ขึ้นทดแทนกฎกระทรวง กำหนดเครื่องวัดที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ชนิด ลักษณะ รายละเอียดของวัสดุที่ใช้ผลิต อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด และคำรับรองของเครื่องชั่งตวงวัด และหลักเกณฑ์และวิธีการจดทะเบียนเครื่องหมายเฉพาะตัว พ.ศ. 2546 ลงวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2546  ในส่วนเครื่องชั่ง   ซึ่งก็ยังคงหลักคิดเดิมไว้อยู่คือ “Local”

            แต่หากจะปรับเปลี่ยนหลักการสำหรับเครื่องชั่งสปริง โดยเปลี่ยนจาก “Local” เป็น “Global” โดยจัดให้เป็นเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติชั้นความเที่ยง IIII  ผลที่จะตามมาคือ

1.         เครื่องชั่งสปริงจะมีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดสูงขึ้น  หรืออีกนัยคือเรายอมให้เครื่องชั่งสปริงมีความเที่ยงน้อยลง  ใครจะไปตอบประชาชนผู้ใช้เครื่องชั่งสปริงว่าเครื่องชั่งสปริงต่อไปนี้หลวงจะคุ้มครองน้อยลงทำให้ท่านที่เคารพจะต้องใช้เครื่องชั่งสปริงที่ผลิตจากอุตสาหกรรมประจำถิ่นมีความเที่ยงลดลงแล้วนะ   ในโลกนี้ทุกคนต้องการสิ่งดีๆ เพิ่มขึ้น โลกพัฒนาไปจนไปถึงดาวพลูโตแต่เครื่องชั่งสปริงมีความเที่ยงลดลง????   มันเข้าใจยากว่ะ....    ส่วนในทางปฏิบัติผู้ผลิตอุตสาหกรรมประจำถิ่นใดจะยังคงคุณภาพเครื่องชั่งสปริงที่ตนเองผลิตให้มีความเที่ยงสูงเช่นเดิมเพื่อรักษา Branding ตนเองไว้ นั้นคือยังคงรักษาให้เครื่องชั่งสปริงมีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดตามที่เราจัดให้เป็นเครื่องชั่งแบบ Local  ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชน  ดังนั้นหลังจากนี้เราจะไปบังคับกะเกณฑ์ใดๆ หรือมีการรับประกันใดๆ ไม่ได้อีกต่อไปเพราะไม่มีกฎหมายบังคับเสียแล้วเพราะเราดันไปจัดเครื่องชั่งสปริงให้ไปอยู่ชั้นความเที่ยง IIII  เสียแล้ว    อย่าคิดไปขอความร่วมมืออย่างเด็ดขาด   เพราะผู้ผลิตเครื่องชั่งสปริงอุตสาหกรรมประจำถิ่นเคารพกฎหมายเท่านั้นครับ

2.         ประการต่อมาเมื่อเครื่องชั่งสปริงจะมีค่าพิกัดกำลังต่ำสุด (Min) สูงขึ้นเมื่อถูกจัดให้อยู่ชั้นความเที่ยง IIII คือ เครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลัง 15 kg กับ 20 kg (ค่า Min เพิ่มจาก 500 g เป็น 1,000 g หรือ 1 กิโลกรัม) ซึ่งจะครอบคลุมช่วงการชั่งใดที่มีการใช้งานจริงๆ ในวิถีชีวิตมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่พิกัดกำลังเครื่องชั่งสปริง  ประการนี้เราไม่สามารถกำกับดูแลและบังคับได้จริงในทางปฏิบัติ  ความผิดและเวรกรรมก็จะตกลงมายังพนักงานเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัด และนายตรวจชั่งตวงวัด    เพราะใครมันจะไปนั่งเฝ้าการใช้เครื่องชั่งสปริงได้ตลอดเวลาหากใช้เครื่องชั่งสปริง 15 kg  เพื่อชั่งซื้อขายถั่วฝักยาว 3 ขีด หรือ 300 กรัม  ซึ่งมีค่าต่ำกว่ากว่า Min (1,000 กรัม)  !!!    ส่วนจะคาดหวังผู้ใช้เครื่องชั่งสปริงจะต้องมีความรู้รักษาผลประโยชน์เอาเอง ในทางปฏิบัติมันก็ยาก   แต่หากเจอผู้มีความสนใจจริงก็จะมีเรื่องร้องเรียนกันวุ่นวายก่อให้มีปัญหาในเชิงบริหารจัดการ  ต้องกางกฎหมายหาความผิดการใช้เครื่องชั่งสปริงต่ำกว่าค่า Min  หาข้อหาไปหาข้อหามา  อ้าวไม่มีความผิดที่ระบุชัดเจน  ยกคำร้อง หรือต้องร่างแก้ไขกฎหมายใหม่  ฯลฯ   เอาแค่ 2 ประเด็นก็เหนื่อยใจแล้วครับ

3.         พิกัดกำลังเครื่องชั่งสปริงภายใต้ชั้นความเที่ยง IIII  หากยังเคารพตัวเลขที่ใช้งานกับสาธารณะชนคือ 1, 2 และ 5  ก็จะไม่มีปัญหาแต่หากผู้ผลิตอุตสาหกรรมประจำถิ่นเกิดต้องการตอบสนองตลาดเฉพาะผลิตเครื่องชั่งสปริงให้มีพิกัดกำลังไม่เป็นไปตามตัวเลขใช้งานกับสาธารณะชนคือ 1, 2 และ 5  เราอาจะเห็นเครื่องชั่งสปริง 1.5 กิโลกรัม ???  พนักงานหน้าที่ชั่งตวงวัดก็ต้องเตรียมตัวจัดให้มีแบบมาตราให้เพียงพอในการตรวจสอบให้คำรับรอง (Verification)  รวมไปถึงออกไปสำรวจตรวจสอบ (Inspection) ต้องวางแผนโครงสร้างแบบมาตรา   อาจต้องออกแบบตุ้มพวงใหม่จาก 4 kg เป็น ...kg  เป็นต้น

4.         สำหรับประเด็นที่มีเครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลังสูงกว่า 60 kg ถูกนำเข้ามาภายในราชอาณจักรไทยและใช้งานในปัจจุบัน   ประการแรกที่มีคำถามในใจคือ กรมศุลกากร...ยังทำหน้าที่อยู่หรือไม่  หรือหากไม่นำเข้าผ่านช่องทางปกติแต่แอบนำเข้ามาช่องทางธรรมชาติ คำถามในใจว่าทหารและตำรวจยังทำหน้าที่อยู่หรือไม่   ไม่ใช่หาเรื่องหรือกล่าวโทษไม่รับผิดชอบแต่บังเอิญเจอปัญหาในลักษณะนี้จนต้องนั่งลงพิจารณาในภาพร่วมของปัญหาที่เราต้องแก้ปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน   เรื่องลักษณะนี้ในฐานะชั่งตวงวัดมีเราประสบการณ์ที่มีสถานะการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอยู่ปลายทางหรือปลายน้ำ (Downstream) ของเรื่องราวและต้องรับผิดชอบพูดง่ายๆ ต้องรับผิดชอบจากการทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์จากหน่วยงานก่อนหน้านี้  จะโกรธก็ว่า…..แต่มันเป็นเรื่องจริง และต้องอยู่กับมัน   จะยกตัวอย่างให้สักเรื่องหนึ่งก็ได้   คือในกรณีมาตรวัดปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายก่อนเติม   เพราะมาตรวัดดังกล่าวจะผลิตออกมาใช้งานได้ต้องผ่านกฎหมายหลายฉบับและหลายหน่วยงาน  นอกจากพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม  ตัวอย่างเช่น

กฎกระทรวงสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๕๒

กฎกระทรวง สถานที่เก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๕๑

กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้ง การอนุญาต และอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๕๖

กฎกระทรวง ระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๕๖ 

โดยเฉพาะกฎกระทรวง ระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๕๖  มันมีช่องหมารอดอยู่ข้อหนึ่งคือ ข้อ 16 (9)  ลองไปตรวจสอบดูเถอะครับ “มาตรวัดปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายก่อนเติม” ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ  พรบ. มาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ถูกจัดเป็น “สถานีบริการน้ำมัน” ประเภท “สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงประเภท ง” ตามกฎกระทรวงฯ พรบ. ควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542  นั้น  ไปตรวจสอบได้เลยว่าจะมีกี่ตู้จ่ายฯ ที่ผลิตในราชอาณาจักรไทยที่ผ่านการรับรองให้ใช้ในบริเวณอันตรายแบบที่ 1 และแบบที่ 2 จากองค์กร สมอ., UL, EECS, PTB, LCIE, CESI, CSA และ TIIS   ที่เราเจอและมีปัญหาก็ล้วนผ่านการรับรองจากข้อ 16 (9) ทั้งนั้น  พอสอบถามลึกลงไปว่าองค์ในข้อ 16 (9) มีห้องปฏิบัติการ? มีเครื่องมืออุปกรณ์ใด? มีวิธีการมาตรฐานการทดสอบอ้างอมาตรฐานสากลใด? มีคุณภาพบุคลากรและประสบการณ์มากน้อยเพียงใด?  เราจะไม่ได้มีคำตอบกลับออกมาหรอกครับ   พอเราบอกกล่าวเรื่องราวที่แท้จริงให้ผู้มีอำนาจรับทราบ  ผู้มีอำนาจก็ตบปากเราแล้วสวนกลับมาว่าจะให้ผู้มีอำนาจไปทะเลาะกับกระทรวงพลังงาน หรือ?    ผลตามมาเราก็จะเจอเครื่องชั่งตวงวัดปลายทางที่มีคุณภาพต่ำทรามสิครับ 

ดังนั้นไม่ว่าเครื่องชั่งตวงวัดทั้งที่ระบุพิกัดศุลาการกรชัดเจนอย่างไร  มี National Single Window อย่างไรมันก็เข้ามาในราชอาณาจักรไทยจนได้  หรือจะสั่งซื้อออนไลน์หรืออย่างไรมันก็มาปรากฏในแผ่นดินราชอาณาจักรไทยโดยเป็นเครื่องชั่งตวงวัดที่ไม่ได้รับการตรวจสอบให้คำรับรองเพราะเป็นเครื่องชั่งตวงวัดไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม   จะให้ชั่งตวงวัดไล่ตามจับกุมดำเนินคดีกันทุกรายไป  ในทางปฏิบัติมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินการด้วยแต่ก็ต้องตอบว่าเราปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่างเพราะเราก็กลัว ม. 157 เช่นกัน   จะให้ข้าราชการ 1 คนลูกชาวบ้านอย่างเราขึ้นโรงขึ้นศาลเป็น 10 เป็น 100 คดี  งานการก็ไม่ต้องทำกัน   ลองให้ลูกหลานพวก C10 - C11 มาทำสิ  มันก็ไม่ทำหรอกครับเพราะแป๊บเดียวมันนั่งเป็นผู้บริหารของหน่วยงานแล้ว... ส่วนจะมาขู่ว่าโดน ม. 157  มันก็ไม่เป็นธรรมน่ะ  ผมเชื่ออย่างนั้น   มันเป็นระบบราชการ.......นั้นคือเมื่อหน่วยงานหนึ่งทำงานไม่ทำหน้าที่  หรือทำหน้าที่บกพร่อง  เรื่องมันก็จะสะสมกันมาเป็นทอดๆ  พอมาถึงปลายทางจะให้หน่วยงานปลายทางรับผิดชอบเพียงหน่วยงานเดียวกระนั้นหรือ...เจ้านาย?????

 

รูป กฎกระทรวง ระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๕๖ ข้อ 16

 

5.         ต้องยอมรับว่ามีช่องว่างของตลาดเครื่องชั่งระหว่างพิกัดกำลัง 60 kg – 100 kg มีอยู่จริง เนื่องจากมีเครื่องชั่งที่ใช้อยู่เป็นเครื่องชั่ง 4 (ชื่อเดิมตาม พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2466).หรือเครื่องชั่งแบบคันชั่งเครื่องชั่งแบบสตีลยาร์ด (Simply steelyards with sliding poises) ที่มีพิกัดกำลัง 500 kg (ส่วนใหญ่) ที่เห็นใช้ในการชั่งหัวหอม กระเทียม แผ่นยางยางพารานั้นแหละครับ  มีขนาดและน้ำหนักมากสูงยากต่อการพกพาเคลื่อนย้าย  ดังนั้นช่วงพิกัดกำลังของเครื่องชั่ง 60 kg – 100 kg จึงเป็นช่วง “Blue Ocean” ของพ่อค้าที่สามารถทำรายได้จริงๆ นั้นคือเป็นช่องว่างทางการตลาดที่ไม่มีผู้แข่งขันมากเพราะกฎหมายไม่ให้มีเครื่องชั่งสปริงเกินพิกัดกำลัง 60 kg ในการกำหนดไว้อย่างนั้นก็เพราะในวันนั้นผู้ผลิตเครื่องชั่งสปริงประจำถิ่นทำกันแค่นั้น  และขีดความสามารถในเทคโนโลยีของกลไกสปริงของผู้ผลิตเครื่องชั่งประจำถิ่นไปได้แค่นั้น  และเรามีความเห็นเป็นส่วนตัวและเชื่อว่าเครื่องชั่งที่ใช้เทคโนโลยีกลไกสปริงก็ควรหยุดอยู่เพียงเท่านี้คือ ใช้ชั่งสินค้าในลักษณะพกพาหรือถือได้ของชายหญิงไทยด้วยน้ำหนัก 50 kg อีกทั้งเป็นการประนีประนอมกับวิถีชีวิตของสาธารณะชนซึ่งชั่งตวงวัดเองก็ไม่ควรดำเนินการใดๆขัดกับวิถีชีวิตของสาธารณะชนอย่างเด็ดขาด  ไม่เชื่อลองออกกฎหมายดูสิว่า “ต่อไปนี้ในการซื้อขายไข่ไก่ ไข่เป็นให้ชั่งเป็นน้ำหนัก”  คงมันน่าดูครับ     แต่เมื่อเวลาผ่านไปจากเมื่อ พ.ศ. 2542 เป็น พ.ศ. 2560 – 2566  ด้วยวิถีชีวิตสาธารณะชนจริงในระบบเศรษฐกิจสังคมราชอาณาจักรไทยซึ่งมันต้องมีพลวัตรและอีกทั้งเป็นความต้องการของผู้ใช้จริงทั้งนี้เราก็ต้องยอมรับและต้องมาพิจารณากันจริงๆว่าเทคโนโลยีเครื่องชั่งระหว่างพิกัดกำลัง 60 kg – 100 kg กลไกของเครื่องชั่งโดยการใช้สปริงยังสามารถรองรับได้ดีหรือไม่  หรือเราจะมีเครื่องชั่งไม่อัตโนมัติชนิดอื่นสามารถทดแทนและอุดความต้องการของผู้ใช้งานช่วงพิกัดกำลังดังกล่าวได้หรือไม่ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ  หากเทคโนโลยีของสปริงยังใช้งานได้อยู่เราก็อาจเพิ่มช่วงเครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลัง 60 kg – 100 kg  ให้อยู่ในชั้นความเที่ยงชั้น IIII หรือเพิ่มตารางอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดตามแนวทางเดิม  ซึ่งต้องเรียกผู้ผลิตเครื่องชั่งสปริงมาทำความเข้าใจ  แต่โดยหลักการที่ผู้มีส่วนได้เสียจากการใช้เครื่องชั่งสปริงเดิมต้องไม่เสียสิทธิ์เดิมที่มีอยู่ไป  นั้นคือเครื่องชั่งต้องไม่มีอัตราเผื่อเหลื่อเผื่อขาดสูงขึ้นหรือมีความเที่ยงแย่ลง    การกำหนดให้เครื่องชั่งสปริงให้มีพิกัดกำลังแบบ “ปลายเปิด” ตั้งแต่ 60 kg ให้อยู่ในชั้นความเที่ยง IIII  ดูจะไม่คำนึงถึงเทคโนโลยีกลไกสปริงมันไปได้ถึงไหน?  แต่ควรตีกรอบเทคโนโลยีชนิดนี้ (กลไกสปริง) ให้อยู่ในช่วงพิกัดกำลังที่เหมาะสมกับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมประจำถิ่นไม่ดีกว่าหรือ??  อีกทั้งควรบริหารจัดการให้ผู้ใช้เครื่องชั่งสปริงที่มีพิกัดกำลังสูงดังกล่าวทำการปรับเปลี่ยนไปใช้จากเครื่องชั่งในรูปแบบ Local ไปยังเครื่องชั่งในรูปแบบหลักการ Global  ทั้งนี้ก็เพราะว่าธุรกิจใดที่ต้องใช้เครื่องชั่งพิกัดกำลังสูงๆ ในการซื้อขายสินค้าและบริการ  เราอนุมานได้ว่าเป็นการดำเนินการธุรกิจโดยบุคคลที่มีกำลังทรัพย์สูง  ผู้เกี่ยวข้องธุรกิจดังกล่าวต้องรับผิดชอบระบบเศรษฐกิจสังคมของราชอาณาจักรไทยเนื่องจากได้รับผลประโยชน์จากสังคมมากกว่าคนทั่วไป  อีกทั้งควรคำนึงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจและช่วยยกระดับมาตรฐานเครื่องชั่งตวงวัดในราชอาณาจักรไทยให้สูงขึ้นด้วย   ถ้าจะเปรียบเปรยถึง “เครื่องชั่งสปริง” เราก็สามารถเปรียบเปรยเครื่องชั่งสปริงเสมือนเป็นเครื่องชั่งคนจนก็ว่าได้ (ไม่น่าเกียจกระมัง)  ดังนั้นจึงควรสงวนไว้กับกิจกรรมการค้าในระดับหนึ่ง  การขยายพิกัดกำลังเครื่องชั่งตวงวัดที่ถูกจัดกลุ่มให้เป็น Local  ต้องคำนึงและตีกรอบไว้พอประมาณต้องไม่ควรกำหนดเป็น “ปลายเปิด”  ส่วนกลัวว่าเมื่อเจอเครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลังสูงกว่า 60 kg ถูกนำเข้ามาภายในราชอาณาจักรและใช้งานโดยไม่ได้รับการตรวจสอบให้คำรับรอง แล้วไม่อยากจับกุมดำเนินคดีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  และเข้าใจดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้   ชั่งตวงวัดเราอยู่ปลายน้ำจะให้ชั่งตวงวัดเราจมน้ำตลอดเวลา....ตลอดชีวิต....หรือ???????  พวกต้นน้ำ..มันต้องรับผิดชอบบ้าง.....   แต่ถ้าให้สวย   วันหนึ่งวันใดเกิดต้นน้ำและปลายน้ำเชื่อมมือจับมือกันได้  เรามารวมกันเล่น..ให้สนุกสนานกันซักรอบ 2 รอบ  ก็น่าสนนะ 55555   ใครคิดโครงการความร่วมมือกรมศุลกากร  ตำรวจเศรษฐกิจ  ตำรวจการซื้อขาย Online  หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค ฯลฯ... ทำการลงแขกสักทีก็ดี  ... แต่.....ตื่นๆๆๆๆๆ  เอ็งฝันอยู่...

เราจะไม่เอ่ยถึงหรือไม่อยากคุยเครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลังเกิน 100 kg  เพราะสามัญสำนึกมันวังเวง  ตอบไม่ได้เพราะอะไร  แต่คิดว่าเทคโนโลยีกลไกสปริงเดินมาไกลเกินไปหรือไม่จนถึง 200 kg หรือครับ??   นอกเสียจากมีการพัฒนาวัสดุศาสตร์มีวัสดุโลหะชนิดใหม่เกิดขึ้นบนโลกหรือได้นำวัสดุโลหะใหม่ๆเข้ามาใช้ทำสปริง กรรมวิธีขึ้นรูปและ Heat Treatment ใหม่ๆ ด็มาสอนเรา  เราก็อยากรู้    แต่หากผู้ผลิตเครื่องชั่งสปริงประจำท้องถิ่นบอกว่าไม่คิดผลิตเครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลัง 60 kg – 100 kg  เรื่องก็น่าจบ   แต่หากผู้ผลิตประจำท้องถิ่นบอกว่าไม่ผลิตเครื่องสปริงในช่วงพิกัดดังกล่าวแต่ขอนำเข้า  อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องนำเข้าเครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลัง 3, 5, 7, 15, 20, 35 และ 60 kg  ด้วยได้หรือ?   แต่ถ้าผู้ผลิตเครื่องชั่งประจำถิ่นบอกว่าผลิตเครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลัง 60 kg – 100 kg  และขออยู่ในชั้นความเที่ยงชั้น IIII  เรื่องก็น่าจะจบไปด้วยดี  เพราะผู้ผลิตประจำถิ่นต้องรับผิดชอบเครื่องชั่งสปริงที่เราสงวนและรักษาปกป้องให้เป็นเครื่องชั่งตวงวัดที่เรายึดเป็น “Local”  ด้วย   ผู้ผลิตประจำถิ่น (เครื่องชั่งสปริง) ต้องรับผิดชอบระบบเศรษฐกิจและสังคม ของราชอาณาจักรไทยที่พวกคุณได้ตักตวงผลประโยชน์มานานหลายปี   ถึงเวลาที่ผู้ผลิตประจำถิ่นต้องทดแทนคุณแผ่นดินบ้าง    แต่หากเราออกกฎระเบียบให้มีการนำเข้าเครื่องชั่งสปริงพิกัดกำลัง 60 kg – 100 kg  มันจะมีเรื่องตามมาอีกเยอะ....  ลองติดตามดูครับ......

 

            หากผู้ใดมีความคิดความอ่านโลกสวย  อยากให้ทุกอย่างโดยเฉพาะเครื่องชั่งตวงวัดในราชอาณาจักรไทยเป็นไปตามสากล หรือ Global เสียทุกเรื่อง    ยอมไม่ได้ที่จะให้มี Local ต้องจัดปรับ Local ให้เป็น Global ทั้งหมด   ก็อย่าลืมเรื่องที่จับต้องไม่ได้ เช่น วิถีชีวิตของสาธารณะชนด้วยนะ   และอย่าลืมสะกดคำ Adapt กับ Adopt  ส่วนจะเข้าใจความหมายมันหรือไม่? ก็ค่อยๆคิด  ไม่เสียเวลาหรอกครับ    บางประเทศที่เจริญแล้วเพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติรัฐ  เมื่อออกกฎหมายมันยังสามารถออกกฎหมายว่า “ทั้งนี้สัตว์ปีก ให้รวมถึงสุกรด้วย”   ดูมัน….ยังทำได้เลย......  แล้วเราละ  “....แล้วขยัน” หรือครับ...........  ผิดหวังจริงๆ ขอรับ ..........  แต่ขอวางลงไว้ ณ ตรงนี้นะเพราะทำหน้าที่จบแล้ว.............สาธุ

 

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
ชั่งตวงวัด; GOM MOC
นนทบุรี
8 มิถุนายน 2566
 
 

 

 



จำนวนผู้เข้าชม : 636